Google Ads

ทำ Lead Cost ให้ต่ำคือสิ่งที่หลายธุรกิจมักทำพลาด (เทคนิค Lead Qualification ด้วยเว็บไซต์)

Jerome Tana

Jerome Tana

5 สิงหาคม 2568

ทำ Lead Cost ให้ต่ำคือสิ่งที่หลายธุรกิจมักทำพลาด (เทคนิค Lead Qualification ด้วยเว็บไซต์)

มีความเชื่อหนึ่งที่กัดกินงบการตลาดเงียบ ๆ ว่า “Lead ถูก = แคมเปญดี” ถ้าได้ 100 Leads ราคา 50 บาท/คน ก็เหมือนชนะแล้วใช่ไหม? แต่พอส่งต่อให้ทีมขาย กลายเป็นต้องโทรตาม 80 สายที่ไม่ใช่ ICP โทรติดยาก สนทนาสั้น ๆ แล้วหาย สุดท้ายดีลไม่ขยับ

ขณะที่อีกแคมเปญได้แค่ 20 Leads ราคา 200 บาท/คน แต่ปิดได้ 5 ดีลเร็วและใหญ่กว่า ถ้าเป้าหมายคือ “Revenue” ไม่ใช่ “ปริมาณ contact ใน CRM” แค่นี้ก็ชัดเจนครับว่า Lead cost ≠ Lead quality

วันนี้ผมชวนมาดูว่า “qualify lead ด้วยเว็บไซต์” ทำให้จบงานขายง่ายขึ้นอย่างไร ประหยัดเวลาทีมขายแค่ไหน และลดต้นทุนการคัดกรองแบบ manual ยังไง พร้อมไอเดียและเช็กลิสต์ลงมือทำได้ทันที

1) Lead cost ไม่เท่ากับ Lead quality: ถูกกว่าบางทีก็แพงกว่า

เหตุผลที่หลายทีมติดกับค่า CPL เพราะตัวเลขมันสวย แต่คุณภาพไม่ได้อยู่ในค่า CPL แต่อยู่ในความ “fit” กับสินค้า: งบประมาณ, อำนาจตัดสินใจ, ความต้องการ, และกรอบเวลา
ลองดูตัวอย่างง่าย ๆ

  • แคมเปญ A (ถูกแต่ไม่ดี): CPL = 100 บาท, 100 ลีด = 10,000 บาท
    Convert เป็น SQL 10% ⇒ 10 ราย, ปิด 10% ⇒ 1 ดีล
    CAC (เฉพาะค่าโฆษณา) = 10,000 บาท/ดีล = 10,000
  • แคมเปญ B (แพงแต่ใช่): CPL = 500 บาท, 40 ลีด = 20,000 บาท
    SQL 50% ⇒ 20 ราย, ปิด 25% ⇒ 5 ดีล
    CAC (เฉพาะค่าโฆษณา) = 20,000/5 = 4,000

ยิ่งนับ “ต้นทุนเวลา” ของทีมขาย ยิ่งชัด: ถ้าต้องใช้เวลาคัดกรองลีด 15 นาที/ราย และคิดค่าแรง 500 บาท/ชั่วโมง

  • แคมเปญ A: 100 ลีด = 25 ชม. ⇒ 12,500 บาท ⇒ CAC รวม ≈ 22,500/ดีล
  • แคมเปญ B: 40 ลีด = 10 ชม. ⇒ 5,000 บาท ⇒ CAC รวม ≈ 5,000/ดีล

ถูกตอนต้น แพงตอนจบ คือภาพจริงที่เกิดขึ้นบ่อยครับ

2) ทำไม “เว็บไซต์” ถึง qualify ได้ดีกว่าทักไปคุยเอง

เว็บไซต์ที่ออกแบบเพื่อการคัดกรอง คือ gatekeeper 24/7 ที่ทำงานแทนทีมขายโดยไม่เหนื่อย หน้าที่ของมันไม่ใช่ดักทุกคน แต่คือ ชวนคนที่ “ใช่” เดินต่อ และพาคนที่ “ยังไม่ใช่” ไปเส้นทางที่เหมาะกว่า
ข้อดีที่เกิดขึ้นจริง:

  • Self-selection: เงื่อนไขเบื้องต้น, ช่วงราคาเริ่มต้น, ขอบเขตบริการ ทำให้ผู้สนใจประเมินตัวเองก่อนทิ้งข้อมูล
  • Expectation setting: มีช่วงราคา/เวลาทำงาน/ขั้นตอนชัด ลด “sticker shock” ตอนคุยราคา
  • Data you need, first: ฟอร์มถาม “คำถามคัดกรองจริง ๆ” ไม่ใช่แค่ชื่อ–เบอร์
  • Speed to meeting: จองคิว/เดโมได้ทันทีหลังผ่านเกณฑ์ ลดงาน follow-up
  • Routing & scoring: ส่งลีดที่ใช่ไปหาคนที่ใช่ พร้อมคะแนนความเป็นไปได้
    ผลลัพธ์คือ ลีดที่พร้อมคุย เข้ามาหาทีมขายมากขึ้น การสนทนาจึงเข้าเรื่องไวและมีโอกาสปิดสูงกว่ามาก

3) 9 ไอเดีย “Qualify บนเว็บ” ที่ใช้ได้จริงตั้งแต่พรุ่งนี้

ให้เว็บทำงานแทนแบบฉลาด ไม่ใช่แค่สวยครับ

  1. ฟอร์มหลายขั้น (Multi-step form)
    เริ่มจากคำถามง่าย ไล่ไปคำถามคัดกรอง เช่น งบประมาณช่วงไหน? อุตสาหกรรม? Timeline? ปรับ CTA ตามคำตอบ เช่น “เข้าเกณฑ์ ⇒ จองเดโม” / “ยังไม่เข้า ⇒ ดูแพ็กเกจเริ่มต้น”
  2. BANT Questions ที่ไม่ทำให้หนี
    แทนคำถามแข็ง ๆ ใช้ถ้อยคำเป็นมิตร:
    • Budget: “ช่วงงบที่คิดไว้ (เริ่มต้นที่…)”
    • Authority: “ทีมตัดสินใจมีใครบ้าง ให้เตรียมเดโมให้เหมาะได้”
    • Need: “โจทย์หลักอยากแก้อะไรเป็นอันดับแรก”
    • Timeline: “อยากเริ่มเมื่อไหร่ เพื่อจัดสรรทีมถูก”
  3. Price range / Calculator / Configurator
    ให้ประเมินราคาเริ่มต้นหรือคำนวณเบื้องต้นได้เอง คนที่ไปต่อคือคนที่รับกรอบราคาได้ ลดการคุยฟรียาว ๆ
  4. Eligibility Checker
    ตัวเช็คความเหมาะสม เช่น พื้นที่ให้บริการ, ขนาดทีมขั้นต่ำ, ข้อมูลเทคนิคที่จำเป็น กรองก่อนทิ้งข้อมูล
  5. Use-case Router
    ปุ่มทางเข้าแยกตามเป้าหมาย เช่น “เพิ่มลีด”, “อัปเกรด SEO”, “ลดค่าโฆษณา” แต่ละเส้นทางพาไปแบบฟอร์มและ CTA ต่างกัน
  6. Instant Booking / Meeting Link เฉพาะกลุ่ม
    ถ้าคะแนนถึงเกณฑ์ ให้จองคิวได้ทันที พร้อมอีเมลเตรียมตัวที่เจาะโจทย์ (Brief + Case ที่เกี่ยวข้อง)
  7. Smart Thank-you Page
    ไม่ใช่แค่ “ขอบคุณ” แต่ขึ้นเนื้อหาต่อเนื่อง เช่น Checklist เตรียมโปรเจกต์, Case study ที่คล้ายโจทย์, เอกสารราคาเริ่มต้น
  8. Chat/Bot ที่เป็น Decision Tree
    ไม่ใช่บอทคุยเล่น แต่เป็น flow คัดกรอง + ส่งอีเมลสรุปคำตอบเข้าทีมขาย พร้อมคะแนน
  9. CRM & Scoring Integration
    ต่อฟอร์มเข้ากับ CRM, ตั้งกฎคะแนน, สร้างงานอัตโนมัติ, ส่งอีเมลขอข้อมูลเพิ่มเมื่อขาดแค่บางข้อ

4) ทำไมแบบนี้ปิดดีลง่ายขึ้น (และคาดการณ์ได้ง่ายขึ้น)

เมื่อเว็บทำหน้าที่ pre-qualification การคุยครั้งแรกจะเปลี่ยนจาก “สัมภาษณ์” เป็น “วางแผนแก้ปัญหา”

  • ทีมขายเข้าเรื่องไว เพราะมีบริบท, งบประมาณช่วง, Timeline แล้ว
  • ลูกค้ามี Anchoring เรื่องราคาและขอบเขต ไม่หลุดคาดหวัง
  • เนื้อหาบนเว็บทำหน้าที่เป็น Proof (Case, รีวิว, ตัวเลขผลลัพธ์) สร้างแรงเสริมก่อนคุย

ผลคือ close rate สูงขึ้น และ sale cycle สั้นลง เพราะการตัดสินใจไม่เริ่มจากศูนย์ทุกครั้ง

5) ประหยัดเวลาและต้นทุนอย่างไร เทียบกับ manual qualify

สมมติ lead 100 ราย/เดือน, เวลาคัดกรอง manual 15 นาที/ราย, ค่าแรง 500 บาท/ชั่วโมง

  • แบบเดิม: 100 × 15 นาที = 25 ชม.12,500 บาท/เดือน เฉพาะค่าแรงคัดกรอง
  • เมื่อมีระบบบนเว็บ: เว็บตัดออก 60 รายตั้งแต่ต้นทาง, 40 รายที่ผ่านใช้เวลาคุยสั้นลงเหลือ 5 นาที ⇒ 40 × 5 นาที = 3.3 ชม.≈1,650 บาท

ประหยัดเวลา ~21.7 ชม./เดือน และ ประหยัดค่าแรง ~10,850 บาท/เดือน ยังไม่รวมค่าเสียโอกาสที่ทีมขายเอาเวลาไปไล่ดีลที่มีโอกาสปิดสูงกว่า

CPL ถูกไม่การันตีคุณภาพ แต่ ระบบ qualify บนเว็บไซต์ ช่วยให้คนที่ใช่เดินต่อ คนที่ยังไม่ใช่มีทางเลือกอื่น ทีมขายจึงคุยตรงประเด็น ปิดดีขึ้น เร็วขึ้น และต้นทุนรวมถูกลง
CTA: ถ้ายังไม่มี flow คัดกรองบนเว็บ ลองเริ่มจาก Multi-step form + Price range + Booking ภายในสัปดาห์นี้ แล้ววัดตัวเลข 3 จุด: %เริ่มฟอร์ม, %ผ่านเกณฑ์, %จองนัด จากนั้นค่อยเพิ่ม Calculator/Eligibility ตามลำดับครับ

แชร์บทความนี้

Jerome Tana

Written by Jerome Tana

Author at WEBCRAFTSMAN

Jerome Tana is a dedicated member of the WEBCRAFTSMAN team, specializing in web development, digital marketing, and creating exceptional user experiences.

Available slots for December

Get started with our service easily today

Fill out the form to request a free quote or consult about your project

  • Contact back within 24 hours
  • No cost
  • No commitment