Web Design

ทำไม Problem Section คือหัวใจของ Landing Page และจะออกแบบยังไงให้ได้ผล

Jerome Tana

Jerome Tana

11 สิงหาคม 2568

ทำไม Problem Section คือหัวใจของ Landing Page และจะออกแบบยังไงให้ได้ผล

เคยไหม หน้าเว็บสวย ภาพคม ชุดสีเป๊ะ แต่ stat ยังนิ่ง เลื่อนไปเลื่อนมา สุดท้ายปิดแท็บหายกันไปหมด… ผมเจอแบบนี้บ่อยมาก และจุดที่มัก “หลุด” คือบนสุดของหน้า—ช่วงที่ผู้อ่านกำลังตัดสินใจว่าจะเลื่อนต่อไหม นั่นแหละครับที่ Problem Section ต้องมาช่วย

ถ้า “ปัญหา” ถูกบอกเล่าแบบจับใจ จะกระตุ้นให้เลื่อนต่อและพร้อมรับข้อเสนอ ช่วยขยับ conversion ให้ดีขึ้นได้จริง โดยหลักการ UX ย้ำว่าพื้นที่บนสุดตัดสินว่าคนจะ engage ต่อหรือไม่ และควรสื่อสาร value proposition ชัดเจนตั้งแต่แรกเห็นครับ.

Problem Section คืออะไร และทำไมสำคัญ

ผมใช้คำว่า “Problem Section” เรียกบล็อกสั้น ๆ ตอนต้นหน้า (มักอยู่ใน hero area) ที่ตั้งคำถาม/สะกิด pain แบบตรงใจ พร้อมวางบริบทปัญหาให้ชัด ก่อนพาไปยังคำสัญญาและวิธีแก้ (solution) ต่อเนื่องในไม่กี่บรรทัด

  • งานวิจัย/แนวปฏิบัติด้าน UX แนะนำให้ส่วนบนสุดของหน้าเป็นตัว “คัดกรอง” ความสนใจ จัดวางข้อความและภาพที่ช่วยตัดสินใจว่าจะเลื่อนต่อหรือไม่.
  • Best practices ด้าน hero section เน้นหัวเรื่องสั้น คม ภาพเกี่ยวข้อง และ CTA เหมาะกับบริบท เพื่อพาคนจากปัญหาไปสู่ทางออก.
  • บทความ/กรณีศึกษาด้าน landing page optimization ชี้ว่าการจัดวางข้อความ/ภาพช่วงต้นหน้าให้ตรงกับ pain ของกลุ่มเป้าหมายส่งผลกับ conversion อย่างมีนัยสำคัญ.

1) แกนคิด: ใช้ PAS ให้เป็น “สะพาน” (Problem–Agitate–Solution)

หลักคือ แค่ชี้ให็เห็นปัญหาบางทีอาจจะไม่ได้ผล ต้องขยี้ให้รู้สึกด้วย 55555

เขียนปัญหา (Problem) ให้ตรงสถานการณ์จริง เติมแรงสะเทือนอารมณ์แบบพอดี (Agitate) แล้วพาไปคำตอบ (Solution) แบบไม่กระโดดข้ามขั้น

ตัวอย่าง (SaaS จัดการเอกสาร):
“เอกสารกระจัดกระจาย หาไฟล์ไม่เจอ เสียเวลาอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดทุกสัปดาห์ ผลคือดีลสะดุดและทีมหมดไฟ—มาลองจัดระเบียบทุกไฟล์ในที่เดียว พร้อมติดตามเวอร์ชันแบบอัตโนมัติ”

Checklist ทำ PAS แบบไว ๆ

  • Problem: ระบุสถานการณ์+ความเสี่ยงที่จับต้องได้
  • Agitate: เพิ่มผลเสียที่กำลังเกิด/จะเกิด (แต่ไม่ดราม่าเกินไป)
  • Solution: เชื่อมสั้น ๆ ไปยังผลลัพธ์หลังใช้ผลิตภัณฑ์/บริการ
  • ปิดด้วย CTA เดียวที่ชัด (“เริ่มใช้งานฟรี”, “ดูเดโม 3 นาที”)

ข้อผิดพลาดพบบ่อย: เขียนกว้างเกิน ทำให้ทุกคนคือใครก็ได้ → สุดท้ายคือไม่มีใครรู้สึกโดนจริง

ลองเปิด note ขึ้นมา แล้วเขียน PAS หนึ่งย่อหน้าใน 90 วินาทีแรก

2) โครงสร้างข้อความใน Problem Section (Template ที่นำไปใช้ได้ทันที)

ไอเดียหลัก: ใช้ 3 ชั้นข้อความสั้น ๆ พอดีตา

  1. Headline = ปัญหาเชิงผลลัพธ์
  2. Support line = สาเหตุ/อุปสรรคหลัก
  3. Bridge = สะพานสู่คำสัญญา + CTA

ตัวอย่าง (บริการขนส่ง e-commerce):

  • H1: “ออเดอร์ค้างโกดัง เสียยอดเพราะส่งช้าไป 1 วัน”
  • Support: “ระบบติดตามกระจัดกระจาย ทีมตอบแชตจนมือหงิก”
  • Bridge+CTA: “รวมสถานะขนส่งทุกเจ้าไว้จอเดียว เริ่มฟรี 14 วัน”

Checklist

  • ความยาวบรรทัด: อ่านจบใน 3–5 วินาที
  • หลีกเลี่ยงศัพท์เทคนิคเกินจำเป็น
  • CTA เดียว ชัด ตรงกับสถานะแวะมาของ traffic (เย็น/ร้อน)

ข้อผิดพลาดพบบ่อย: ทำ 2–3 CTA ช่วงบนสุดจนแย่งกันเอง

ลองนำ H1 ที่มีอยู่มาเขียนใหม่ให้เป็น “ปัญหาเชิงผลลัพธ์” 1 เวอร์ชัน

3) ภาพและเลย์เอาต์: ทำให้ “ปัญหา” มองเห็นได้

ไอเดียหลัก: ภาพใน hero/Problem Section ควรช่วยเล่า pain point หรือสถานการณ์ใช้งาน (contextual imagery) ไม่ใช่ภาพสต็อกทั่วไป

ตัวอย่าง:

  • SaaS: ภาพ UI จริงช็อตที่ “ก่อน–หลัง” (ก่อน: error/ซ้ำงาน, หลัง: สรุปสถานะชัด)
  • B2B: ภาพทีมกำลังทำงานกับอุปกรณ์/เอกสารที่ชี้ปัญหา
  • ค้าปลีก: ภาพสินค้าในบริบทที่แก้ pain เฉพาะจุด

Checklist ภาพ:

  • เกี่ยวข้องกับปัญหา/บริบท
  • มี contrast พอให้ headline เด่น
  • ไม่กลบ CTA

ข้อผิดพลาดพบบ่อย: เลือก hero image สวยแต่ไม่เกี่ยว ทำให้ข้อความ “ปัญหา” ลอย

mini-CTA: จับภาพหน้าจอผลิตภัณฑ์ที่สะท้อน pain แล้ววางแทนสต็อก

แนวปฏิบัติเรื่อง hero/ภาพใน hero ที่ช่วย conversion.

4) จับคู่ข้อความกับ “ระดับการรับรู้ปัญหา” (Problem Awareness)

ไอเดียหลัก: Traffic แต่ละแหล่งมีระดับการรับรู้ไม่เท่ากัน ทำให้สไตล์ Problem Section ต้องปรับตาม

  • Problem-aware: ใช้ภาษาเฉียบคม กระแทก pain ได้ตรง ๆ
  • Solution-aware: ย้ำผลลัพธ์และตัวแปรชี้ขาด (เร็วกว่า, ง่ายกว่า)
  • Most-aware: เน้นข้อเสนอ/การันตี/ความเสี่ยงต่ำ (risk reversal)

ตัวอย่าง: แคมเปญ Google Ads คีย์เวิร์ด “ลด abandoned cart” = problem-aware → เปิดด้วยปัญหาแรง ๆ ได้เลย แต่ organic ที่ค้นแบรนด์โดยตรง = most-aware → เปิดนุ่มขึ้นและชวนเริ่มใช้งานเร็ว

map แหล่ง traffic → กำหนดโทนปัญหา/CTA ให้สอดคล้องกัน

อย่าใช้ข้อความเดียวกันกับทุกช่องทาง ทำ 2 เวอร์ชัน—สำหรับ problem-aware กับ solution-aware แล้ว A/B test ดู

5) การวัดผล: วาง KPI ให้ Problem Section

ไอเดียหลัก: วัดทั้ง “สนใจไหม” และ “คลิกไปไหน”

  • Above-the-fold engagement: scroll depth ถึง 25%+, time on section
  • Micro-conversions: CTR ของ primary CTA, คลิก “ดูเดโม/วิดีโอสั้น”
  • Macro-conversions: สมัคร/สั่งซื้อ/จองเดโม

แนวทางทดสอบ:

  • A/B ทดสอบ headline (ปัญหาเชิงผลลัพธ์ vs ปัญหาเชิงอารมณ์)
  • ภาพ: UI จริง vs ภาพ contextual
  • Agitate แรงขึ้นเล็กน้อย vs อ่อนลง
  • CTA copy: “เริ่มฟรี” vs “ดูเดโม 3 นาที”

6) ตัวอย่าง “ก่อน–หลัง” (ย่อ)

ก่อน (บริการนัดช่างซ่อม):
“บริการช่างซ่อมครบวงจรสำหรับทุกบ้าน” → กว้าง ไม่สะท้อนปัญหา

หลัง (Problem Section รุ่นปรับ):
“H1: รอช่างครึ่งวัน เสียงานทั้งวัน?
Support: นัดหมายไม่ชัด ช่างเลื่อน ทีมบ้านปั่นป่วน
Bridge+CTA: เลือกช่างที่ว่างจริง พร้อมยืนยันเวลาแน่นอน—เช็กตารางทันที”

7) สาย StoryBrand/Value Proposition ก็ไปทางเดียวกัน

หากคุ้นกับ StoryBrand จะรู้ว่าการ “ตั้งปัญหา” ให้ลูกค้าคือฮีโร่ของเรื่อง เป็นแกนเดียวกับ Problem Section เพียงเปลี่ยนภาษาและลำดับให้เข้ากับหน้าเว็บของแบรนด์ โดยยังต้องวาง value proposition ชัดเจนตั้งแต่แรกเห็น

อุปสรรคที่เจอบ่อย และทางแก้

  • เขียนแรงไปจนดูข่ม/เล่นความกลัวเกินเหตุ → ใช้ข้อมูลจริงและสถานการณ์ประจำวัน ไม่ต้องดราม่า
  • ภาพไม่สัมพันธ์ → เลือกภาพ “ก่อน–หลัง” หรือภาพบริบทการใช้งาน
  • CTA หลายปุ่ม → เลือกแค่ 1 เป้าหมายในช่วงบนสุด

Problem Section ที่ดี = ระบุปัญหาเฉียบคม + สะพานไปคำสัญญาที่จับต้องได้ + ภาพ/เลย์เอาต์สนับสนุน + CTA เดียวที่พาไปขั้นถัดไป เมื่อทำครบและทดสอบเป็นระบบ จะเห็นสัญญาณ engagement และ conversion ขยับขึ้น โดยเฉพาะบนพื้นที่บนสุดที่ทำหน้าที่เป็นด่านแรกของการตัดสินใจ.

ลองเลือกหน้าเว็บเป้าหมาย 1 หน้า เขียน Problem Section ตามเทมเพลต 3 แบบ แล้วเริ่ม A/B ทดสอบภายในสัปดาห์นี้เลยครับ

แชร์บทความนี้

Jerome Tana

Written by Jerome Tana

Author at WEBCRAFTSMAN

Jerome Tana is a dedicated member of the WEBCRAFTSMAN team, specializing in web development, digital marketing, and creating exceptional user experiences.

พร้อมให้บริการสำหรับเดือนธันวาคม

เริ่มต้นรับบริการง่าย ๆ ได้ทันที

กรอกแบบฟอร์มเพื่อขอใบเสนอราคาฟรี หรือปรึกษาเกี่ยวกับโปรเจกต์ของคุณ

  • ติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง
  • ไม่มีค่าใช้จ่าย
  • ไม่มีข้อผูกมัด