9 ขั้นตอนออกแบบปุ่ม CTA บนเว็บไซต์ให้มีคนกดเยอะขึ้น
Jerome Tana
13 สิงหาคม 2568

Table of Contents
คุณอาจคิดว่า CTA (Call-to-Action) คือแค่ “ปุ่มกด” แต่ความจริง มันคือจุดตัดสินใจสำคัญที่สุดบนหน้าเว็บ
ถ้าทำพลาด ต่อให้คอนเทนต์และข้อเสนอคุณดีแค่ไหน คนก็ยังไม่กด
ในบทความนี้ เราจะเริ่มจาก CTA ที่ไม่ค่อยดี แล้วค่อย ๆ ปรับในแต่ละข้อไปพร้อมกันนะครับ
นี่คือปุ่ม CTA ตัวเริ่มแรกของเรา ที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น CTA ที่สมบูรณ์แบบในตอนท้าย

1. Copy — ใช้ข้อความเน้นผลลัพธ์
ลองนึกภาพว่าคุณเดินเข้าไปในร้าน แล้วพนักงานยื่นกระดาษมาให้เซ็นโดยไม่บอกว่าหลังจากนั้นจะได้อะไร รู้สึกยังไงครับ? นี่แหละคือความรู้สึกของผู้ใช้เวลามองเห็นปุ่มที่เขียนว่า “Submit” — มันเย็นชา เป็นภาษาของระบบ ไม่ใช่ภาษาของคนจริง ๆ และที่สำคัญคือไม่ได้บอกเลยว่ากดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
วิธีแก้คือเปลี่ยนข้อความบนปุ่มให้เป็น Action Words พร้อมบอก Benefit ชัดเจน เช่น
- “เริ่มทดลองใช้ฟรี”
- “ดาวน์โหลดคู่มือฟรี”
- “จองที่นั่งของคุณ”
แบบนี้ผู้ใช้จะตัดสินใจกดเพราะรู้ว่ากำลังจะได้อะไร ไม่ใช่เพราะถูกสั่งให้กด

2. Color — ใช้สีที่ดึงดูดสายตา
ปุ่ม CTA ที่สีเทาอ่อนเหมือนถูกปิดใช้งาน ก็เหมือนป้ายบอกทางที่ซีดจนแทบอ่านไม่ออก ไม่มีใครสนใจ และบางคนอาจคิดว่ากดไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทางออกคือเลือกสีที่ Contrast กับพื้นหลังและสื่อความหมายทางอารมณ์ที่ต้องการสื่อ เช่น
- เขียว: ความปลอดภัย, การยืนยัน
- ส้ม: พลัง, การกระตุ้น
- แดง: ความเร่งด่วน (ใช้ระวัง)
สีที่มี Contrast สูงจะทำให้สมองรู้ทันทีว่า “นี่คือจุดที่ควรสนใจ”

3. Size & Shape — ขนาดใหญ่ กดง่าย
บนมือถือ ปุ่มเล็ก ๆ ที่ต้องซูมถึงจะกดได้ ก็เหมือนจับเหรียญเล็กในถุงมือหนา ๆ — ยากและน่าหงุดหงิด
วิธีแก้คือทำให้ปุ่มมีขนาดสูงอย่างน้อย 44px สำหรับจอสัมผัส ใช้มุมโค้งมนเพื่อให้ดูเป็นมิตร และให้ปุ่มแยกตัวออกจากองค์ประกอบอื่น ๆ อย่างชัดเจน เมื่อเห็นแล้วจะรู้สึกได้ทันทีว่า “อันนี้กดได้แน่นอน”

4. Placement — วางตรงจังหวะตัดสินใจ เห็นได้ง่าย
ถ้า CTA หลักอยู่ท้ายหน้าเว็บยาว 3,000 คำ ก็เหมือนตั้งร้านขายน้ำอยู่ปลายเส้นมาราธอน คนส่วนใหญ่ไม่มีทางเดินไปถึง
ควรวาง CTA หลักไว้ใน Hero Section ตั้งแต่แรกเห็น และเสริม CTA ซ้ำตรงกลางเนื้อหา รวมถึงท้ายเพจ เพื่อให้ปุ่มอยู่ในจังหวะที่ผู้ใช้พร้อมตัดสินใจจริง ๆ

5. Sticky CTA — ทำให้พร้อมกดได้เสมอ
บนมือถือ เวลาปุ่ม CTA หายไปจากจอ ผู้ใช้ต้องเลื่อนกลับขึ้นไปหาปุ่ม เหมือนต้องเดินกลับไปเอาของที่ลืมไว้บนชั้นสอง — เปลืองแรงและเสียจังหวะ
การแก้ไขคือใช้ Sticky CTA bar ด้านล่างหน้าจอมือถือ หรือบน Navigation bar เช่น “จองตอนนี้” หรือ “แชทกับเรา” ที่อยู่ติดกับผู้ใช้ตลอดเวลา ลดขั้นตอนและกดได้ทันที

6. White Space — เพิ่มพื้นที่รอบ ๆ ปุ่ม
ปุ่มที่แปะติดกับข้อความยาว ๆ จนกลืนกัน ก็เหมือนโปสเตอร์ที่ตัวหนังสือติดกันเป็นพรืด — ตาล้าและมองไม่ออกว่าอะไรสำคัญ
ให้เว้น Margin และ Padding รอบ ๆ CTA เพื่อสร้าง Breathing Space ทำให้ปุ่มโดดเด่นและตัดกับสิ่งรอบข้าง พื้นที่ว่างนี่แหละที่ช่วยให้สายตาผู้ใช้พักและโฟกัสที่ปุ่ม

7. Visual Cue — ปุ่มที่มีคนชี้ทาง
ปุ่ม CTA ที่ลอยอยู่เฉย ๆ อาจถูกมองข้ามไปโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่มีอะไรบอกว่า “ตรงนี้คือสิ่งสำคัญ”
เราสามารถใช้ลูกศร เส้นนำสายตา หรือภาพคนใน Hero Image ที่มองไปทางปุ่ม วิธีนี้ใช้พลังธรรมชาติของสมองที่มักจะมองตามทิศทางที่เห็น ทำให้ผู้ใช้โฟกัสที่ CTA โดยอัตโนมัติ

8. Urgency & Scarcity — จาก “สมัครเลย” “สมัครภายใน 24 ชม.”
ปุ่ม CTA ที่ไม่มีแรงกระตุ้นก็เหมือนการชวนเพื่อนเที่ยวแล้วบอกว่า “ไปเมื่อไหร่ก็ได้” ผลคือ... ไม่มีใครรีบ
เพิ่มความเร่งด่วน (Urgency) หรือความจำกัด (Scarcity) เช่น
- “สมัครภายใน 24 ชม. รับโบนัส”
- “เหลือเพียง 3 ที่นั่ง”
สิ่งนี้จะกระตุ้น FOMO (Fear of Missing Out) ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าต้องรีบตัดสินใจ

9. Trust Signals — เพิ่มหลักฐานความน่าเชื่อถือ
ผู้ใช้บางคนลังเลจะกดเพราะกลัวความเสี่ยง เช่น ไม่มั่นใจว่าจะได้
วิธีแก้คือเพิ่ม Trust Signals เช่น ไอคอนกุญแจ ข้อความ “ข้อมูลคุณปลอดภัย” หรือ “ยกเลิกได้ทุกเมื่อ” เพื่อยืนยันความปลอดภัยและลดความกังวลในใจผู้ใช้

การออกแบบ CTA ไม่ใช่เรื่องแค่ “ทำให้สวย” แต่คือการเอาทุกจุดที่ทำให้ผู้ใช้ลังเล ออกไปทีละข้อ
ถ้าคุณทำครบทั้ง 9 ข้อ CTA ของคุณจะไม่ใช่แค่ปุ่ม แต่คือ ตัวเร่งให้ Conversion พุ่งขึ้นได้ครับ
แชร์บทความนี้

Written by Jerome Tana
Author at WEBCRAFTSMAN
Jerome Tana is a dedicated member of the WEBCRAFTSMAN team, specializing in web development, digital marketing, and creating exceptional user experiences.











